วันพุธที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๑

nothin but photographs 2

true blue

artificial pool

my mama

my lovely friend..

บางสะพาน

my lovely fifa

วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

nothing but photographs

wat arun


ริมกก


golden dusk


river flows


......


สะพานน้อย ริมกก


ดื่ม..





to be continued

วันจันทร์ที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

in every minute

ในทุกทุก 1 นาที อาจจะมีคนกำลัง in love จนแทบสำลักความสุขตาย

ในทุกทุก 1 นาที อาจจะมีคนกำลัง ผิดหวัง จนแทบสำลักความทุกข์ตาย

มันเกิดขึ้นพร้อมๆกัน

พร้อมๆกัน



สักมุม สักที่... ไม่ได้มีใครมีความสุขคนเดียว ไม่ได้มีใครเศร้าคนเดียว

ไม่ได้เหงาคนเดียว


เพียงแค่.....
เราไม่รู้....

จริงมั๊ยยยยยยยย

วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

survivors

หาดเฉวง,สมุย


กำลังจะต้องไปทำภารกิจบางอย่างที่สมุย ฟังดูดีทีเดียวใช่มั๊ยคะ ไปทำงานและไปทำงานที่สมุย ที่แรกก็คิดว่าดูดีแหละค่ะ แต่พอดูข่าวเมื่อวานว่าน้ำท่วม ชุมพร สุราษฎร์ รวมถึงหาดเฉวงด้วย!!! เลยคิดในใจว่าซวยแล้วไม๊ล่ะคะ งานนี้ล่มไม่ได้เพราะเป็นงานกลางแจ้งและยังไม่ได้คิดถึงว่า ถ้าฝนตก พายุกระหน่ำ plan B ของเราจะออกมารูปไหน จริงๆแล้วไม่ว่าจะงานอะไรก็ตามเราควรมีแผนสอง รองรับเสมอแต่สารภาพอย่างไม่อายว่าไม่ได้นึกถึงแผนสองไว้เลย คือลืมไปเลยด้วยซ้ำว่านี่คือช่วง มรสุม(หรือเปล่า) และสมุยก็เป็นเกาะแม้จะใหญ่โตแค่ไหน แต่โบราณเค้าว่า คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล จริงของคำโบราณค่ะเพราะได้รู้ซึ้งแล้วว่าไอ้ คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล ถ้าบทมันจะน่ากลัว มันน่ากลัวมากน้อยแค่ไหน

ที่พักบนเกาะเสม็ด

เมื่อเกือบสองปีที่แล้ว เราและเหล่าสหายร่วม trip ที่เรียกได้ว่าเป็น trip ที่ยากจะลืมเลือน จุดหมายปลายทางของ trip ที่ว่าคือเกาะเสม็ด (เสร็จไปหลายราย) ฟังดูเป็นการเที่ยวทะเลแบบพื้นๆนะคะ เกาะเสม็ด ใครๆก็คงเคยไป
แน่นอนค่ะมันก็เป็นการเที่ยวพื้นๆ เล่าแบบคร่าวๆคือคืนแรกที่ไปถึงก็ดื่มกันแบบไม่เกรงใจฟ้าดิน จริงๆแล้วก็อยากเกรงใจแต่ด้วยความที่ว่าฟ้าดินดันไม่เกรงใจพวกเรา ฝนตกกระหน่ำลงมาในช่วงหัวค่ำ ทำให้แผนที่จะนั่งรถไปรับประทานอาหารอร่อยที่อ่าวไผ่และลิ้มรส bucket สุดล้ำเป็นอันต้องล่ม ทำให้พวกเราต้องนั่งจับเจ่ากันที่ resort และเปิดเครื่องดื่มอะไรต่อมีอะไรที่พกไปด้วยมาย้อมใจกันจนไร้สติไปหลายราย ว่าไม๊ค่ะว่าเสม็ดเป็นสถานที่ เหมาะแก่การไป “ดื่ม”ด่ำกับบรรยากาศที่ผ่อนคลายเสียจริงๆ ซึ่งกิจกรรมที่กล่าวไป มั่นใจมากๆว่าใครๆไปก็ต้องทำกิจกรรมนี้

แต่เรื่องสำคัญมีอยู่ว่า ในวันต่อมาหลังจากที่หายจากอาการ hang over กันไปตามสมควร พวกเราตกลงปลงใจกันว่าจะไปนั่งเรือรอบเกาะ เรือที่นั่งเป็นเรือลำเล็ก maximum capacity คือ 7-8 คน และเราก็ไปกันเต็มพิกัดความจุของเรือเลย ใน group มี 7 คนบวกคนเรือเป็น 8 แต่เสื้อชูชีพในเรือมี 6 มารู้หลังจากออกเรือไปพักนึงแล้ว เยี่ยมไปเลย…
ผู้เสียสละในคราวนี้คือแขกบ้านแขกเมืองของเราเองแมนมาก นาย Josh พี่เค้าบอกว่าว่ายน้ำเก่ง แข็ง!!!
ช่วงแรกๆที่นั่งไปก็ออกจะเพลินดี ลมแรงบ้างคลื่นสูงบ้างเป็นบางจังหวะ ไม่น่าห่วงเรือได้มาจอดที่จุดที่เรียกว่าเป็นด้านท้ายของเกาะเพื่อให้ดำผิวน้ำดูปลา เท่าที่ดำดูเจออยู่ประมาณไม่เกิน 10ตัว แหละปะการังอีกเป็นหย่อมๆ เริมนึกในจะว่า มาทำไมวะคะนี้!!! เราดูอะไรกันอยู่คะ แต่เอาเถอะ ขำๆ มาแล้วแล้วนิ

ส่วนนึงของ survivors

หลังจากที่ขึ้นเรือเพื่อไปต่อนี้สิคะ เล่นเอาพูดไม่ออกกันเลยทีเดียว คือที่เสม็ดถ้าคนเคยไปบ่อยหน่อยแล้วเคยไปพักอ่าวพร้าวจะทราบว่าคลื่นทางด้านหลังเกาะจะแรงกว่าด้านหน้าหรือด้านหาดทรายแก้วที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว แต่วันนั้นฟ้าครึ้มฝนจะตกด้วย คลื่นเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ใจก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมองหน้ากันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เอาไงดีคะ ทุกคนเริ่มมองไปที่คนเรือ
หัวเรือใหญ่ของเรา คุณป๊อบก็มองหน้าสหายที่นั่งอยู่ด้านหน้าซึ่งก็รวมถึงเรา เพื่อนหนุ่มที่หน้าเหลือไม่ถึงนิ้ว และเพื่อนสาวบล็อกข้างๆ คือคุณ ฝน นัยว่าไหวมั๊ยมึง เราก็ไม่แน่ใจว่าได้ตอบกลับไปด้วยสีหน้าอย่างไร แต่สีหน้าเราตอนนั้นคงไม่ได้ต่างจากสหายท่านอื่นมากมายนัก คุณป๊อบเลยถามว่า น้องไหวมั๊ย คนเรือเค้าว่าไหว เรามองกลับไปข้างหลัง คลื่นมันมาจากหลายทิศทางมากและความสูงอยูในช่วง 2ถึง3เมตร โดยส่วนตัวเราคิดว่าถ้าหันเรือกลับน่าจะอันตรายเพราะเรือลำเล็กและคลื่นก็สูงขนาดนั้น เรามันใจเกิน 50%ว่ามีโอกาสล่มแต่เราก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคลื่นเลยเงียบดีกว่า จากนั้นเราหันไปมองหน้าคนขับเรือ เค้าเองก็หันไปสำรวจคลื่นจากด้านหลังเหมือนกัน เรานึกในใจว่า เอาวะถ้าไม่ไหวเค้าคงหันหัวกลับให้เพราะมันก็ชีวิตเค้าเหมือนกัน




ในใจตอนนั้นนึกอยู่ว่าเมื่อไร่จะพ้นกับ ซวยแล้วกูจะรอดมั๊ย เพราะมองไปรอบๆ นอกจากทะเลแล้วก็คือหน้าผาสูงและโขดหินเป็นแนวยาวยังมองไม่เห็นหาดต่อไป ถ้าล่มคลื่นซัดดิฉันและเพื่อนๆเข้าโขดหินแน่ต่อให้ฟิตปั๋งแค่ไหนเราก็ไม่ใช่นักแข่ง ไตรกีฬาคลื่นแบบนี้ร่างกายทานไม่ไหวเป็นแน่ ตาย(ห่า)มากๆ แล้วมองไปที่เพื่อนสาวหน้าซีดแล้วยิ่งรู่สึกแย่มากไปกว่าเดิมเพราะรู้ดีว่าเพื่อนฝนว่ายน้ำไม่แข็งเอาเลย คือก็เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนๆว่า ฝนไม่ค่อยถูกกับการเที่ยวทางน้ำเท่าไรนัก ถ้าเรือล่มก็ไม่อยากจะคิด ไอ้ระหว่างที่คิดๆไปเรือก็เริ่มแฉลบ และเอียงอย่างรุนแรงพอสมควรมาทางฝั่งเราบ้างฝั่งเพื่อนทั้งสองบ้าง จนเริ่มคิดว่าถ้าแฉลบแบบแรงๆนัยว่าเรือล่มแน่เราคงต้อง กระโดดออกจากเรือเพื่อไม่ให้น้ำหนักของเรือดูดเราลงไป โอยๆๆๆอารมณ์นั้นแย่มากๆเลยค่ะ มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาแถมนอกจากเรือจะแฉลบแล้ว คลื่นที่สูงเป็นเมตรก็ทำให้เรือดีดขึ้นลงไปมาจะนั่งข้างหลังก็ไม่ได้เดี๋ยวเรือมันจะไม่ balance แถมตอนนั้นก็ลุกไปลำบากแล้วด้วยไอ้คลื่นบ้าบอที่ว่ามันเลยทำให้ตัวเราเด้งลอยเหนือเบาะนั่งและกระแทกกลับลงมาอยู่นับครั้งไม่ถ้วน โอยยๆๆๆๆ ตายๆๆๆๆๆๆ ณ นาทีนั้น ชั่วโมงนั้นเครียดมากๆที่สุดค่ะ

เข็ดค่ะเข็ด นึกในใจว่าถ้ารอดไปไม่เอาอีกแล้ว

และแล้ว 7 ผู้รอดชีวิต ก็รอดมาได้ ทันทีที่เห็นสีขาวๆของหาดต่อไปอยู่ไรๆใจชื้นขึ้นมาทันที รอดแล้ววววววว!!!
สำหรับเราของฝากจากการเที่ยวรอบเกาะคืออาการคลื่นไส้เฉียบพลันเมื่อเรือจอด
สีเขียวอมม่วงเป็นแนวยาวใต้ท้องแขนข้างขวา ก้นสีเขียวอมม่วงเล็กน้อยถึงปานกลาง ขาหลังสีเขียวอมม่วงเป็นแนวยาว ในวันต่อมา
ประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมลง แต่เราก็จะยังคงเที่ยวทะเลเกาะแก่งๆต่อไปด้วยความรอบคอบระมัดระวังมากขึ้น



นี่แหละค่ะที่เค้าว่า คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล

….ทริปต่อไปทะเลตรัง ดีมั้ยคะ survivors?

วันพุธที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

หนังน่าดู

เห็นเพื่อนหนุ่มรูปงอม ยังค่ะ รูปงาม blog ข้างๆ แก update blog ตัวเองแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แล้วรู้สึกว่า
ไม่ได้การแล้ว แบบนี้ต้องขอ update บ้างซะหน่อย อิอิอิ ขำ ขำ นะคะ จริงๆแล้วมีเรื่องอยากจะเขียนมากมายแต่เรียบเรียงความคิด ไม่ค่อยถูก (เป็นข้อเสียของเรามากๆ เป็นคนคิดอะไรไม่เป็นระบบสักเท่าไร มีผลต่อการทำงานและการเรียนพอสมควร)

เอาเป็นว่าประเดิม journal แรกของเดือนตุลาคม เป็นเรื่องขำขันแล้วกันค่ะ บังเอิญว่าช่วงนี้เสพติดความไร้สาระเอามากๆ เพราะรู้สึกว่าระหว่างวันพบเจอแต่เรื่องเครียดๆ พอมีโอกาสได้ไร้สาระเมื่อไร ก็เมื่อนั้นเลยทีเดียวค่ะ

อาจจะเคยอ่านผ่านๆกันบ้างจาก journal อันแรกที่ใส่ไว้ คือ “my fav. Forward mail ever” แน่นอนทีเดียวค่ะวันนี้จะมาแปลชื่อหนังต่อจาก fwd mail อันนั้น ความขำขันอาจจะมีไม่เท่า แต่ความไร้สาระ เอาไปเลยเต็มๆค่ะ

ขอให้ credit ผู้ร่วม sessionไร้สาระไว้ก่อนเลยนะ
ขอขอบคุณ คุณ ป๊อบ ศุษม และ คุณบิน ภัทรอร ที่มาร่วมประชุมลับในวาระแปลชื่อหนังอย่างไรให้ไร้สาระเมื่อหลายวันก่อน

พร้อมหรือยังคะ…เรามาเริ่มกันเลย…5…..4….3…2..1..0



Resident Evil > เรือนมาร (ละครหลังข่าวมาก น้ำเน่าสุดไปเลย)



Planet Terror > ดาวเคราะห์ อัลกอร์อิดะห์ (เกี่ยวป่ะ?)



Sweet November > น้ำผึ้ง เดือน 11 (น่าจะหวานกว่าเดือนอื่นนะ)



Murder by Numbers > ฆ่ากูเลย สมการ (ไม่เกี่ยวแต่เชื่อมโยง)



Miss Congeniality 2: Armed and Fabulous(feat.แสงดาว บุญล้อม) > นางสาว มิตรภาพ 2แขน เริ่ด!! (เอามารวมกันให้หมด)



Hardball > แข็ง(จัง)…ภารดร (แบบนี้ น้องฟ้าปลื้มสุด)



While You Were Sleeping > (พี่นอนอยู่ หนูเลย) ลักหลับ



Two Weeks Notice > ประกาศรายปักษ์ และ/หรือ เตือนล่วงหน้า สองสัปดาห์ (ไม่จ่ายเจอดีแน่)



Minority Report > รายงานชนกลุ่มน้อย (ส่งให้พวก NGO/นักกิจกรรม)



Dogeball > ไข่นายด๊อด (อุ๊บบส์)



Harry Potter > ขนดก หน้าหม้อ (อันนี้ แคลสสิก)



School of Rock > โรงเรียน (นี้สร้างด้วย) หิน



King Kong > กษัตริย์ คง (หนังจีนชัดๆ)



The Break Up > การหักขึ้น (อืมม มองได้หลายแง่)



Top Gun > เหนือปืน



The thin red line > เส้นยาแดงผ่าแปด



The notebook > แลปท้อป (อิๆ คิดไรไม่ออกแล้ว)



Interview with the vampire > สืบความผีดูดเลือด!! (งานนี้ผู้พิพากษามี หนาว)



There’s something about Marry > ที่นั้นมีบางอย่างเกี่ยวกับการสมรส (sub นรก ชัดๆ ภาษาอังกฤษแตกฉานมาก)



Stepmom > เหยียบแม่(ง)



Magnolia > บ้าน AF (academy fantasia) อิๆๆ



The sweetest thing > แมร่งหวานสาดด..(กินไม่ลงเลย)



Freaky Friday > ศุกร์อัปปรีย์



Mean girls > ค่าเฉลี่ยเด็กสาวๆ (อืม..ให้ใครประเมิน)


ชื่อแบบนี้ หาดูได้ตามโรงหนังเกรด D เท่านั้นค่ะ

ถ้าใครคิดไรได้ แปลกๆ ไร้สาระๆ มาแจมกันหน่อยนะ

ป.ล. ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากการแปลหนังเรื่อง shoot 'em up หรือชื่อภาษาไทยอย่างเป็นทางการว่า "ยิงแม่งเลย"

วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เคย in love ไม๊คะ??

แน่นอนว่าหลายคนต้องเคย

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆถึงอยากเขียนเรื่องความรักขึ้นมา
เราไม่ได้ อินเลิฟ อยู่ในขณะนี้ ทั้งๆที่อยากจะ อินเลิฟเอามากๆ รู้สึกว่า อาการ อินเลิฟเป็นช่วงสดใสที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต
ไม่ว่าอะไรก็ทำให้อารมณ์ดีได้อย่างบอกไม่ถูก
แต่เราสังเกตว่าอาการ in love มันแบ่งออกเป็นหลาย ช่วงค่ะเราขอตีความอาการ in love จาก ประสบการณ์หมาดๆของตัวเองแล้วกัน




ข้อมูลดิบ
สถานะก่อน “อินเลิฟ” = เพื่อนสนิท (เพื่อนในกลุ่ม)
หนุ่มผู้ทำให้เกิดการ “อินเลิฟ” =
- หนุ่มตี๋นิดๆ (ไม่นิดก็ได้)
- ฝ่ายซ้ายเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์
- ขำขัน/เพี้ยน
- มั่นใจในตัวเองสูง บางครั้งมองได้ว่าไร้ยางอาย
ระยะเวลา “อินเลิฟ” = ถ้าร่วมช่วง Pre-In Love ก็น่าจะ 5 ปีพอดิบพอดี
วันที่ officially “อินเลิฟ” = ศุกร์ที่ 13 ธ.ค ปี 2002 (วันดี)
วันหมดอายุ = อย่างเป็นทางการก็ 22nd May 2007(เป็นของขวัญวันเกิด)



ช่วงที่ 1 Pre-In Love
เป็นช่วงหยั่งเชิง วางมาดแต่ในใจอดคิดถึงไม่ได้ หยิบโทรศัพท์มา อยากโทรแต่นึกในใจ ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยว (แมร่ง)รู้ เล่นสงคราม msg กันเป็นเดือนๆ ช่วงนี้ป่วงสุดเหมือนเล่น poker ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะ fold หรือว่า all in

ช่วงที่ 2 ความรักกำลังถูกบ่ม (hahaha คิดได้ไงวะ เน่ามาก)
อันนี้ชอบ คือเป็นช่วงที่รู้แล้วหล่ะว่า (แมร่ง) ชอบเราแน่ ดังนั้นไปเรียนนั่งติดกันทุก class ตัวติดกันไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน เริ่มไปไหนด้วยกันสองคนมากขึ้น หรือเกือบจะตลอดก็ว่าได้ คุยโทรศัพท์ทุกวัน บางครั้งวันละหลายๆชั่วโมง เล่าให้ฟังทุกเรื่อง คนอื่นถามว่าเป็นอะไรกัน จะพูดว่าเพื่อนสนิท (ช่วงโปรด!! มากกว่าเพื่อน น้อยกว่าแฟน ฮิ้ววว) เริ่มไม่เห็นความสำคัญของเพื่อนคนอื่น hehehe

ช่วงที่ 3 ขอเรียกว่าช่วงสุกงอม หรือช่วง ข้าวใหม่ปลามัน (new rice, oily fish)
บ่มมาพักนึงและ สักทีนะคะ สักที เป็นแฟนกันไปเลยดีว่าสหายยย ทำแบบ ช่วงที่สองเดี๋ยวเป็นที่ นินทาว่ากล่าว เราเป็นผู้หญิงยังไงก็เสีย อิๆๆ ก็เป็นแฟนกันไป ช่วงนี้แหละ โปรดยิ่งกว่าโปรด ได้แสดงออกเต็มที่ว่า เฮ้ยยย ช้านนรักแกนะ ทุกอย่างเป็นสีชมพูจริงๆ อะไรก็ดี ไอ้ที่ไม่ดีก็ดี (บางคนอาจไม่เป็นแบบนี้นะคะ บังเอิญว่าเรารักใครแล้วเต็มที่มากๆ) พูดหวานกันเข้าไปนะคะ หวานได้อีก หวานเรื่อยๆ ไม่รู้จักเบื่อ ขนาดตอนเป็นเพื่อนคุยกัน กูมึงในบางครั้ง แต่นี้ เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเท้าทีเดียว msg ก็ส่งกันเข้าไป อยู่ไหน อย่างไรรู้หมด ไม่อยากจากกันแม้แต่น้อย (ช่วง new rice ของเราอยู่ประมาน ปีนึง เอาแบบ peak peak ก็สัก 4-5เดือนแรก (แบบเลี่ยนอ้วกแตกกันไปเลย)

ช่วงที่ 4 in love แบบอยู่ตัว (และเพิ่มมากขึ้น)
ช่วงนี้อยู่ตัวแล้วค่ะ รู้ routine ของกันและกัน และด้วยความที่เราไม่ขี้ตามขนาดนั้น ค่าโทรศัพท์ก็ลดลง ไม่check ไว้ใจไม่อะไร เป็นช่วง สบายๆ มีทะเลาะบ้างตามประสา แต่โดยรวมทุกอย่างกลับไป ตอนเหมือนเป็นเพื่อนสนิท แต่เป็นเพื่อนสนิทที่รักกันแบบ คนรัก สดใสๆค่ะ สดใสๆ ไม่เหงาอยู่ตัว มีความสุข ความตื่นเต้นอาจจะลดลง แต่ความผูกพัน มากขึ้นค่ะ เป็นแบบนี้มาอีกสักเกือบๆ 3 ปี สำหรับเรา แม้อาการ in love มันจะถูกแสดงออกน้อยลง แต่ความรักมีเพิ่มมากขึ้นทุกวันค่ะ และมันก็ลึกซึ้งมากค่ะ มีแต่สิ่งดีๆ มอบให้ และส่วนมากก็จะเป็นสิ่งดีๆ ที่ได้รับกลับมา

ช่วงที่ 5 ช่วงรักษาระดับ (อาจจะเป็นแค่เราคนเดียว) หรือเรียกได้ว่าประคับประคอง
หลังจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรารักษาระดับ สำหรับเราแล้วระดับความรักแทบไม่ต้องรักษาเลยค่ะ รักแล้วเลิกรักลำบาก แต่เป็นช่วงรักษาระดับของฝ่ายตรงข้ามค่ะ ผู้หญิงรักผู้ชายจาก 0-100 จริงอย่างมากถึงมากที่สุด บางทีมันอาจจะทะลุร้อยเลยก็ได้นะคะ ส่วนผู้ชาย คงต้องคิดในทางกลับกัน




อาการ in love ของเรามันได้หมดแค่ 5 ช่วง หลังจากนั้นเราคงเป็นอาการอะไรต่อมิอะไรมากมายแล้ว อาการต่อเนื่องจากไอ้ อะไรต่อมิอะไร ต้องเรียกมันว่า อาการ heartbroken ยากสสสสสส์ ต่อการรับมือมากๆเลยค่ะ แต่ หุๆๆ เราผ่านมันมาแล้วอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย แต่นับว่าดีกว่างวดแรกมากมายค่ะ

อาการตอนนี้เลยขอเรียกว่า อาการ Post-In Love อาการทำให้รู้ว่าเราโตขึ้นแล้วค่ะ Post-In Love ของเราไม่เลวเลยทีเดียว เพราะว่าได้กลับมาคุยกันใหม่แบบ ‘เพื่อน’ มากๆ รับได้ในสิ่งที่เค้าเป็นอยู่ และเคารพตัวเองมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว และอาการนี้ทำให้เรารู้ว่า เราจะไม่กลับไปหาเค้าอีก เพราะถ้าคุยกันใหม่แล้วอยากกลับไปอีก แน่นอนคุณกำลังเด้งตัวเองไปอยู่ในช่วง 1-3 ค่ะ

แต่อืมม โสดนี้ดีก็ดีสุดไปเลยนะคะ แต่ก็เหงาไม่น้อย ยังไม่สามารถหาคำมาอธิภายอาการได้ ว่าเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าเหงาเป็นช่วงๆ เวลาสนุกก็สนุกจัด แต่เวลาเหงานี้ ไม่ใช่เล่นเลยค่ะ (อาการนี้มีผลข้างเคียงแบบรุนแรง บางครั้งมีผลเฉียบพลันค่ะ , มันจะครอบงำการตัดสินใจของคุณอย่างไม่รู้ตัวค่ะ……..เมาห้ามขับนะคะ เหงาก็ห้ามขับค่ะ)

ทั้งหมดนี้เข้าใจว่าเกิดจากอาการป่วยแล้วว่าง น่าจะเป็นหนึ่งในที่มาของอาการเหงา เมื่อก่อนเวลาป่วยจะไม่เหงาแบบนี้เท่าไหร่
แต่ตอนนี้คิดถึงอาการ in love ช่วงที่ 2-3 อย่างมากมายอยากเจออีก แต่ขอเป็นเหยื่อรายอื่น รายเดิมนั้น อิ่มตัวกันไปข้างนึงแล้ว (ถ้าดู๊ดเข้ามาอ่านอย่าตกใจไป ดู๊ดไม่ได้เป็นเหยื่อ เราเป็นเหยื่อดู๊ด อ่ะ :>)

เพื่อนๆ มี อาการต่างๆ แบบเราไม๊คะ

ใครแอบแว๊บเข้ามาอ่าน บอกอาการกันนิดส์นึงนะคะ

I love you (still) but I'm not in love with you and never going to be in love with you ever again....ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้รู้จักกัน





ป.ล.อีกที เขียนเมื่อวานแต่ published วันนี้ จริงๆถ้าเป็นวันนี้คงไม่เรื่องนี้ เพราะวันนี้ไม่เหงา ดังนั้น เราเขียนเรื่องนี้เพราะเราแอบๆเหงา นั้นเอง!!!

วันศุกร์ที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

(เกือบ) หนึ่งวันใน Munich... Gutten Tag Munchen..


ฮัลโหล มิวนิค คิกๆๆๆ


ในทริปพักใจ ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเยือนเมืองเบียร์ เอ...หรือเมืองสิงโตหว่า ไปที่ไหนก็มีแต่สิงโต หรือที่นี้คือที่ๆ สิงโตดื่ม
เบียร์!!(มีประเด็นมากๆ) น่าเสียดายที่มีโอกาสเที่ยวแค่วันเดียว ไม่เต็มวันเสียด้วยซ้ำ ด้วยจังหวะและโอกาสที่ไม่ค่อยจะอำนวยความสะดวกสักเท่าไรนัก แต่สักนิดก็ยังดีและถือโอกาสไปรับเพื่อนสาวที่เดินทางมาสมทบด้วยไปในตัว

เริ่มต้นวันด้วยการตื่นนอนให้ไวกว่าปรกติ ตั้งนาฬิกาไว้ 4.30am ตื่นจริง ตอน 6.00 เป็นนิสัยดีที่เปลี่ยนไม่ได้แล้วจริงๆ เลทได้อีก จากนั้นก็ทำเวลาหลังจากปล่อย ให้เวลามาทำเราอยู่ตั้งเกือบสองชั่วโมงจนสามารถออกจากบ้านได้ในอีกสิบห้านาทีให้หลัง ระหว่างที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งจากบ้านเพื่อไปสถานีรถไฟก็ได้ยินเสียงเพลง อาราเร่!!! เฮ้ยยยย Dr.Slum มาไงนึกในใจ แถวนี้ก็น่าจะไม่มีใครบ้านไหนใน เมืองๆเล็กใน Austria สามารถมีเพลงนี้ไว้ในครอบครอง!!! ไม่ได้การแล้ว…. มือถือนั้นเอง ลืมสนิทเลยว่าเอามือถือมาด้วยเพราะใช้การไม่ได้มาหลายวันแล้ว พี่ชายผู้น่ารักน่าเตะนั้นเองโทรมาบอกว่าจะขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟให้ เราดันไปทำเสียงตึงตังให้เค้าตื่นเลยต้องตื่นมาส่ง อืมมดีแฮะประหยัดเวลา มาเลยค่ะคุณพี่ แล้วเราก้อได้รับการสอยไปลงที่สถานีรถไฟในเมือง และเฮียแกก็ได้ทำการซื้อตั๋วให้เป็นที่เรียบร้อย แต่กว่าจะได้ตั๋วมานะสิถามคนแถวนั้นอยู่หลายรอบทีเดียว ไอ้เราก็งง ได้ข่าวว่าคุณเป็นคนประเทศนี้นะคะ ถามไปเลยได้รับคำตอบมาว่าไม่ค่อยจะได้นั่งรถไฟ ตั้งแต่มีรถก็ขับรถเอาถ้าไปใกล้ๆ ถ้าไปไกลๆก็จองตั๋วทาง internet เออดีแฮะ รถไฟที่นี้น่านั่งเกือบตายดันไม่นั่ง ดันขับรถให้เมื่อยน่อง เป็นเราหน่อยไม่ได้ แต่ก็อย่างว่าแหละรถ ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่สะดวกสุด ไม่ต้องมาแบกของหรืออะไรก็เหมือนคนไทยขี้เมื่อยที่ติดการใช้รถมากกว่า รถบริการสาธารณะ (เพื่อนบางคนบ้าน อยู่ ซ.หลังสวนดันขับรถไป central ชิดลม เพี้ยนไปแล้ว แต่มีจริงๆ)



ระหว่างที่นั่งรถไฟก็ได้เขียนบันทึกไปเขียนเพลินจนเกือบเลยสถานีที่ต้องไปเปลี่ยนขบวนเพื่อไป Munich เฉียดมากๆ รวมๆแล้วเราใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ชั่วโมงกับ 40 นาที จริงๆแล้วอยากให้นานกว่านี้เพราะว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่แถวถัดไป หน้าตาโดนใจเล็กน้อยถึงปานกลางหรืออาจจะมากที่สุด อิๆๆ อยากจะแอบถ่ายไว้จริงๆ แต่ยังไม่ได้ศึกษากฎหมายแอบถ่ายของเมืองเบียร์ว่ามีโทษหรือไม่อย่างไร เลยได้แต่นั้ง(แอบ)มองอ่ะน่าเศร้าจริงๆ



Munich เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้น Bavaria เป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรม แนว Baroque อยู่มากมาย แต่เท่าที่เดินดูก็มีแนวอื่นด้วย เช่น renaissance แล้วก็ Gothic แต่เท่าที่ได้อ่านจาก guidebook ตึกรามบ้านช่องใน Munich โดนพิษสงครามโลกถล่มเสียแทบไม่เหลือชิ้นดีแต่ได้สร้างกลับขึ้นมาใหม่ได้เกือบหมดแถมสวยงามไม่แพ้ของเดิม เนืองจากเวลา (เวลาอีกแล้วววววววว!!!)มีน้อยจริงๆ เราเลยเริ่มเดินจากสถานีรถไฟเข้าไปใน Old Town หรือย่านเมืองเก่าที่มีลายสิ่งหลายอย่างให้ได้ชม และก็คงอยู่ได้แต่ใน Old Town อยากมี คอปเตอร์ไม่ไผ่ติดตัวเสียจริงๆ โดราจังจ๋า…… (ประตูทุกหนทุกแห่งก็ดีแต่ว่าจะไม่ได้ดูวิวเนอะ..)



เป็นโชคดีอยู่ไม่น้อยที่วันที่เราไปมันเป็นวันหยุดทางศาสนา ร้านรวงเลยปิดหมด ถ้าคนไหนมุ่งหน้าไปเสียตัง หล่ะก็ พลาดดดมากกก็ได้แต่ windows shopping กันไป ที่ว่าโชคดีก็เพราะว่าถึงจุดมุ่งหมายหลักของเราคือการมาชมเมือง และถ่ายรูป แต่ถ้าร้านเปิดก็คงอดไม่ได้ที่จะแว๊บบบเข้าไปดูจริงๆเป็นนิสัยดีๆ อีกอย่างนึงที่ผู้หญิงเกือบทุกคนคงเป็น สังเกตุว่าเมืองใน Europe ละแวกนี้จะมีเล่นดนตรีเปิดหมวกให้เห็นอยู่มากมาย โดยเฉพาะที่นี้ มีนักดนตรีเปิดหมวกเยอะมากเดินไปแป๊บๆก็เจอแล้วทุกครั้งที่เจอเราก็จะหยุดฟัง รู้สึกว่าถึงเราจะไม่ให้สตางค์เค้าไปนั้งฟังเราว่าเค้าก็ชอบ คือเค้ารักในการเล่นดนตรีอยู่แล้วไอ้เงินที่ได้จากการเปิดหมวกอาจจะเป็นของแค่ของแถมก็เป็นได้

อันนี้น่าจะเป็นคู่พ่อลูก น่ารักจัง

เหมือนขิมเลย เสียงก็คล้ายเพียงแต่ไม้จะใหญ่กว่า อันนี้นั้งฟังอยู่นานทีเดียว

ระหว่างทางที่เดินได้พบสถานที่แห่งหนึ่งใหญ่โตมาก ไม่แน่ใจว่าคืออะไรถามคนแถวนั้นก็ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษด้วยจนตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร เวนกรรมจริงๆ แต่เราจะสู้ต่อไปหาไปเรื่อยๆ หวังว่าคงจะหาเจอเร็วๆนี้อ่ะ..
เดินมาอีกนิดหน่อยก็จะเห็นน้ำพุกลมๆตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางช่วงเยนเห็นมีเด็กๆและผู้ใหญ่แอ๊บแบ๊ว บางคนเดินเข้าไปเล่นน้ำพุเนื่องจากวันที่เราไปอากาศค่อนข้างร้อน ถ้าอากาศหนาวแล้วเข้าไปเล่นคงดูเหมือนเป็นการถ่าย music vdo แถวบ้านเรา ไปนิดนึง



สถานที่อีกแห่งที่สะดุดตาพาให้เดินเข้าไปชมคือโบสถ์ Saint Michael ที่สะดุดตาก็เพราะว่าเห็นคนเดินเข้าไปเยอะ เราจึงสงสัยใคร่ถามเลยได้ความมาว่าวันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนาแต่วันอะไรไม่ทราบได้จริงๆ เพราะว่าเราได้พยายามแกะสำเนียงของพี่ผ้ใจดีท่านนั้นแล้วแต่มันช่างสุดความสามารถเราเหลือเกิน เอาเป็นว่าวันนั้นเป็นวันศาสนา จบ… พยายามจะหาประวัติของโบสถ์แห่งนี้อีกเช่นกันแต่ไม่สามารถหาได้จริงๆ เหมือนกับว่าโบสถ์นี้เป็นโบสถ์ทั่วไป ไม่ได้เป็น tourist attraction เลยไม่มีรายละเอียดทั้งใน guidebook พยายามจะเดินเข้าไปหาในตัวโบสถ์ก็ปรากฏว่าเป็นภาษาเยอรมันหมดเลยยยย พึมมมมม!! แล้ว หมูจะเข้าใจมั๊ยยยยย เอาวะไปหาเอาดาบหน้า (ดาบไหนก็ไม่รู้ตอนนี้ก็นั้ง search อยู่) รู้แต่ว่าที่นี้ก็เจอพิษสงครามโลกเข้าเหมือนกัน




ถัดมาเป็นสถานที่อันเลื่องชื่อของเมืองนี้ คือโบสถ์ เฟราเอ่นเคียร์ชเช่อ ( The Frauenkirche) ชือภาษาอังกฤษที่ใน guidebook ได้แปลมาคือ The Church of our Lady อืมมมไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเรีบกแบบนั้น คืออี guidebook มันหอยยย มาก ไม่ได้ซื้อคุณ lonely planetไป เซ็งสุดๆต้องมานั้งหาข้อมูลทีหลังแต่เอาเถอะนะยังไงเราก็ไปแล้วกลับมาหาทีหลังก็โอเค(ปลอบใจตัวเองไปเรื่อย) โบสถ์พระแม่มารีทรงหัวหอมคู่ที่นี้ สร้างด้วยอิฐสีแดง สูง 99 เมตรนี้ ประมานว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมิวนิค พี่ไก่บุ๊คเค้าบอกว่านักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปถึงข้างบนจะได้ชื่นชมกับวิวโดยรอบของเมืองมิวนิคแต่เราไม่ได้ไปเพราะว่าเค้าปิดไม่ให้ขึ้นเนื่องจากมีการทำพิธีทางศาสนากันอยู่ โบสถ์ได้ถูกทำลายอย่างย่อยยับในสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบูรณะ ในปี 1953 บูรณะได้อย่างนุ่มนวลแนบเนียนมากๆ ดูไม่ออกเลยว่าเคยโดนถล่มถ้าจะหาร่องรอยคงจะต้องไปเช่าเครื่องมือจาก unesco อะไรประมานนั้น อืมมม น่าลองเนอะ..


ณ ที่แห่งนี้เองที่เราได้บังเอิญเจอ group tour คนไทย แต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไรกันเท่าไหร่เพราะว่าดันมานินทาเรา แล้วยังนินทาให้ได้ยินอีกไม่ได้เรื่องเลย โปรดจำไว้ว่าถ้าจะ “นินทา”ใครโปรดนินทาในใจนะคะ หรือจะใช่การซุบซิบก็ได้ไม่เสียหายนักเพราะว่าคนออกจะมากมายขนาดนั้น ดิช้านเดาไม่ถูกหรอกว่าพวกคุณๆนินทาใคร นี้มีอย่างที่ไหน พูดซะดังลั่น “คนไทยป่าววะ อืมม เอเชียแน่ๆ” แล้วก็มาเดินๆวนๆด้อมๆมองๆอยู่ได้ (ไม่ใช่ว่าหน้าไม่เหมือนคนไทยแต่บังเอิญใส่แว่นกันแดด คุณๆเค้าก็เลยสงสัยกันซะงั้น) แล้วมีนินทากันต่ออีก เลยต้องจำใจถอดแว่นแล้วบอกว่า สวัสดีค่ะ แล้วค่อยเดินจากไป อืมม ถ้าไม่นินทากันคงจะได้คุยนานกว่านี้นะคะพี่ๆหนูไม่ได้ไม่ friendly แต่ว่าคุณพี่ๆ ดั้นนน มานินทาหนูก่อนนะเคอะ…


ภาพนี้ถ่ายจากรูปที่เค้า show ไว้ข้างในโบสถ์ว่าสภาพที่นี้เป็นอย่างไรหลังจากโดนถล่มจากกลุ่มพันธมิตร (ไม่ใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนะ พี่ๆเค้าคงยังต้องฝึกปรือกันอีกนานนนนนนนนะ)

ความเยินของที่นี้ในช่วงสงคราม...

หลังจากที่ได้จงใจให้ตัวเองพรากจากคนกลุ่มนั้นแล้วก็ได้เดินมาสะดุดตาที่ตึกแบบ Gothic ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลาง square (แถวนั้น square เยอะแยะเต็มไปหมดซึ่งเป็นอะไรที่ดีมากๆ เวลาไปนั้งอยู่แล้วให้ความรู้สึกแบบโปร่งๆโล่งๆอย่างบอกไม่ถูก
มาเรียนพลาตซ์ ( Marienplatz ) คือชื่อของบริเวณนี้ และที่น่าสนใจของตรงนี้คือตึกแบบ gothic ที่ได้กล่าวไปในข้างต้นนะค้าทั่นผู้ชม แอ่น แอน แอ้นนน มันคือศาลาว่าการเมืองใหม่ ( Neuse Rathaus) ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ Glockenspiel หอระฆัง ที่มีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำ เวลา 11 โมงเช้าในหน้าหนาว และ 5 โมงเย็นในหน้าร้อน ไม่รู้ทำไมต้องมาระบำกันเวลาที่ว่าจะ ฤกษ์ดี เป็นช่วงเวลาที่เส้นแวงเส้นรุ้งหันองศาเข้าหากันแล้วดาวเสาร์เกิดโคจรผ่าน ดาวศุกร์เลยต้องเลี่ยงไปอย่างเกรงใจ ไว้เดี๋ยวต้องให้ใครสักคนมาฟันธงว่าทำไมต้องเป็นเวลานี้ สงสัยจริงๆ

รูปนี้สวยดีเลยไม่ได้เอารูป square ลง คือจริงๆแล้วไม่มี lens ที่ wide พออ่ะ (ซื้อให้โหน่ยยย)เก็บมาไม่หมด


ตุ๊กตาเริงระบำ

อีกมุมนึง


อีกที่นึงก็เป็น square เช่นกัน โดยมีพระราชวังเก่า ชื่อว่า เรสซิเดนซ์ ( Residentz )
พระราชวังที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ มิวนิค ที่ซึ่งเป็นที่ประทับและศูนย์กลางอำนาจของกษัตริย์บาวาเรียน มายาวนาน มีห้องจำนวน 130 ห้อง พี่ไกด์บุ๊คเค้าว่าอย่างนั้นนะ เราเองไม่ได้เข้าไปดูเพราะว่าต้องรีบทำเวลากะว่าพอคุณกิ๊ฟเพื่อนสาวมาถึงแล้วถ้ามีเวลาจะไปดูพร้อมกัน ภายในพระราชวังเป็นสถานที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่ามากมายทั้งเฟอร์นิเจอร์ ภาพเขียน เครื่องเคลือบ และเครื่องเงิน ข้อมูลอันน้อยนิดเหล่านี้ก็ต้องยก credit ให้พี่ไก่บุ๊คเค้าไป


หลังจากที่ได้เดินดูสรรพสิ่งรอบๆแล้วมาดูเวลาอีกที โอยยยยยยย ตาย5 (เพื่อไม่ให้เป็นการหยาบคายเกินไปนัก) เกือบบ่ายโมงแล้วทีแรกคิดว่าจะไปเจอคุณกิ๊ฟที่ Airport แต่ไม่ทันแล้วไม่ทันแล้วจริงๆขอโทด หว่ะเพื่อน I’m sollieeeeeeee เลยส่งtext ไปบอกว่ามาเจอกันที่สถานีรถไฟแล้วกัน เพราะเราไปไม่ทันแล้วจริงๆ ส่วนตัวเราพยายามทำเวลาที่สุดแล้วถ้าใครมาเห็นตอนนั้นคงคิดว่ายัยเพิ้งนี้ซ้อมแข่ง ไตรกีฬานอก Olympic stadium อยู่ (เท่าที่รู้มันอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้นนัก) และแล้วว และแล้ววววว เราก็หลงจนได้ทั้งๆที่ทางมันเป็นทางตรง โอเคเจอมุขนี้ต้องกางแผนที่สถานเดียว อืมมมแล้วก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่นักเมื่อเกิดความลนลานและตื่นเต้นจะไม่สามารถอ่านอะไรออกทั้งนั้น แผนที่ ที่ว่า งงๆอยู่แล้ว เล่นเอางงหนักกว่าเดิม เอาไงดีคะทีนี้ เอาไงดีคะ ถามสิคะงานนี้
ทีแรกก็ว่าจะเล็งถามแต่คนหล่อๆ แต่เวลาอีกแล้วค่ะเวลาไม่ปราณีเราเลย เลยต้องถามมันทุกคนที่คิดว่าไม่ใช่ tourist (เมืองนี้ tourist เยอะมาก) ถามไปถามมาจนได้ความว่าไปทางไหนจึงรีบๆกึ่งเดินกึ่งวิ่งไป เหนื่อยเป็นขี้กลัวไปถึงสถานีรถไฟไม่ทันคุณเพื่อนสาวมาถึง และแล้วววว …..เราก็มาถึงสถานีรถไฟ แต่ประเด็นคือกิ๊ฟท์ยังไม่มา text ไปแล้วไม่ตอบซะด้วยยเลยลองโทรไป …โทรศัพท์ก็ปิด กรรมมมมมมเววนนนน รีบทำไมเนี๊ย ทำไมไม่โทรถามตอนอยู่ในเมือง ยัยบร้ายัยผีทะเล เหนื่อยและตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
เกือบๆสองชั่วโมงให้หลังคุณกิ๊ฟท์ก็มาถึงหลังจากที่เราพยายามจิบกาแฟให้ช้าที่สุดเพราะไม่รู้ว่าคุณเพื่อนจะมาถึงเมื่อไหร่ปรกติแล้วเวลา vanilla latte ตกมาอยู่ในมือเรา เราจะสามารถดูดปรื้ดๆได้อย่างรวดเร็วยิ่งเหนื่อยๆอย่างนั้นด้วย ฟังดูเหมือนคนไม่ค่อยมีศิลปะในการดื่มกาแฟแต่มันอร่อยเกินห้ามใจจริงๆก็เลยจำต้องค่อยๆจิบเพราะใจนึงไม่อยากซื้ออีกแก้วเดี๋ยวตังหมด ประมาณว่าตอนนั้นร่อยหรอเต็มที มีแต่การ์ดซึ่งถ้าคุณการ์ดสุดที่รักเกิดมีปัญหาขึ้นมา…..ไม่อยากจะนึกเลยค่ะเรื่องที่จะเขียนอาจจะกลายเป็น .’ติดแหง่ก session in munich’
หรืออาจจะเป็น ‘สองสาวเริง munich (เพราะไม่มีตังกลับบ้าน)’
และแล้ว (กันอีกสักครั้งนะคะ) คุณกิฟท์ก็มาถึงด้วยชุดแดงเด่นเป็นสง่าเพราะว่าเธอมาทั้ง Uniform สายการบินเลย วู้วๆๆ red hot เอามากๆ หลังจากที่ได้ ทักทาย เก็บของ เปลี่ยนชุด เป็นที่เรียบร้อยแล้วเราสองสาวก็ออกตะลุยกันต่อโดยไม่ลืมที่จะซื้อตั๋วไว้ก่อนกันเหนียว เพราะว่าเรานี้จอมเหนียวเรื่องพลาดไม่ใช่เรื่องยากสำหรับตัวดิชั้นเองเลยค่ะ สรุปว่าเราจะออกจาก munich กันประมาน หกโมงกว่า แปลว่าเราก็มีเวลาพอประมาณที่จะเข้าไปใน oldtown อีกรอบนึงและตอนนี้แหละเราจะได้เหมือนมาเที่ยวจริงๆสักกะทีเพราะครึ่งเช้าซัดรูปวิวอย่างเดียวล้วนๆ อยากมีภาพถ่ายใน Munchen เป็นของตัวเองบ้าง สถานที่ๆเดินไปเที่ยวไม่ได้แตกต่างจากตอนครึ่งเช้ามากนัก แต่รายละเอียดนี้สิแตกต่างเพราะว่าสองสาวร้อน (ร้อนเพราะเดินเยอะบวกกับอากาศมันเริ่มจะร้อนเข้าแล้วจริงๆ) ได้ปล่อยไก่ไปหลายตัวทีเดียว แถมยังได้มีโอกาสปล่อยไก่ตัวเท่าควายอีกด้วย หรืออาจจะเป็นการปล่อยควายตัวเท่าช้างก็เป็นได้ how amazing!!!


สองนางจอม "พลาด"

เริ่มที่ไก่ตัวแรก อันนี้ไม่แน่ใจว่าจะเรียกปล่อยไก่ได้ไม๊ ไม่รู้ รู้แต่ว่าพลาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดเอามากๆๆๆๆๆ ทั้งคู่เลย สืบเนื่องมาจากการที่เรา enjoy การยืนชม และฟังดนตรีเปิดหมวกเป็นที่สุดเราจึงได้ไปหยุดที่นักดนตรีท่านหนึ่งแล้วควักกล้องออกมาเตรียมชักภาพ พอถ่ายเสร็จก็ควานหาเศษเหรียญในกระเป๋าเพื่อที่จะได้ให้เค้า ทันใดนั้นเองได้ยินเสียงว่า “สวัสดีครับ” หันไปเห็นผู้ชายคนนึงยกมือไหว้มาทางสองเราสาวร้อน!!!! เฮ้ยใครกันทีแรกนึกว่ากิ๊ฟท์รู้จักแต่มองไปที่กิ๊ฟท์เจ๊แกก็ทำหน้างงแ_กและงงแตกไม่แพ้เรา เท่านั้นไม่พอพี่แกเอาเหรียญยื่นมาให้ โอเค getๆ หวังดีนั้นเองจะให้เราเอาเหรียญไปให้นักดนตรีผู้นั้น (แต่คุณกิ๊ฟท์คิดเป็นอย่างอื่นหาว่าเค้ามาไล่แจกเงินซะงั้น จะบร้าหรือ) เราก็อ๋อๆ ไม่เป็นไรค่ะ มีค่ะมี ด้วยความที่ยังงงว่าแล้วพี่เค้าจะมายกมือไหว้เราสองคนทำไม พอให้เงินเสร็จเลยเดินจากมา อืมมมม นึกในใจว่าหน้าตาก็ไม่แย่ ดีเลยด้วยซ้ำไปอาจจะไม่สูงนักเลยไม่เตะตาตั้งแต่ทีแรกแต่หน้าตาดีทีเดียวนะดีกว่าลูกครึ่งเยอรมันทั่วไปอยู่มิใช่น้อย นึกแล้วก็ให้ไปที่เพื่อนสาวและเล่าถึงความคิดที่เพิ่งจะผลุบขึ้นมา กิ๊ฟท์คะว่างั้นไม๊คะ ….. คิดตรงกันค่ะ เพื่อนๆคะเราคิดตรงกันค่ะ การที่เค้าสวัสดีและยื่นสตางค์พี่เค้าอาจจะอยากมีประเด็นก็ได้นะคะ เดินกลับกันไม๊คะทำทีว่าไปถามทางไหนๆก็เป็นคนไทย(เสี้ยวนึง)เหมือนกัน


ลั้ลลา กลบเกลื่อนความ พลาด...

กลับค่ะเราเดินกลับไปแล้วค่ะแต่ไม่พบใครรรรรร โอ้วววววว โนววววว พลาดดดดดดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เอามากๆๆๆๆๆ ค่ะเพื่อนๆ มารยาหญิงจะว่าไม่มีก็คงจะเป็นการพูดเวอร์ไปแต่สงสัยจะมีน้อยเลยคิดไม่ทันว่าเวลานั้นแทนที่จะเดินออกมา ทำไมไม่ถามทางคะศิริภาส และ ลิลิตา ถึงจะรู้ทางแล้วถามอีกได้ค่ะเพื่อความมั่นคงของชีวิต เฮ้ออ….สองคนรวมกันได้หนึ่งเล่มเกวียน..…ความช้านี่ไม่เข้าใครออกใครจริงๆนะคะ
จริงๆแล้วถึงเดินกลับไปอาจจะไม่เกิดอะไรขึ้นนะ อาจจะได้ถามทางหรืออะไรแบบนี้ก็เป็นอาหารเสริมระหว่างวันกันไปคุณลูกบาส โสดมาสามเดือนแล้วนะคะแห้งแล้งค่ะแห้งแล้ง ส่วนคุณลิลิตาก็นะยังไม่สบโอกาสมาเป็นตัวเป็นตนเสียที คิดอยู่ว่าถึงยังไงก็ไม่แย่งกันหรอกค่ะเพื่อนกันต้องแบ่งกัน เราอาจจะได้เพื่อนใหม่กิ๊ฟท์อาจจะได้เพื่อนใหม่ที่มาเยี่ยมเยียนได้เวลาบินมา Munich (อันนี้เจ๊แกคิดเอง) ว่ากันไปนู้น แต่ก็นะพลาดแล้วพลาดเลย….เรารู้ว่าถ้ามีเพื่อนเกลอมาอีกสองท่านเราจะไม่พลาดกันแบบนี้ค่ะ ….อิๆๆๆ


.....ชอบอันนี้...เหลือตัวจิ๋วเดียวเอง ขอบคุณลิลิตาค่ะ


เงาของสองสาวจอมพลาดค่ะ เราแน่กันมากๆบังอาจเทียบเงาในพื้นแผ่นดินเมืองเบียร์....

มาถึงไก่ตัวที่สองกันดีกว่าอืมม อันนี้แหละที่การปล่อยไก่ได้กลายเป็นการปล่อยควายตัวเท่าช้างของจริง
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการเดินไปเดินมากแล้วเม้าท์แตกกันตามประสาสาว red hot เราก็หิวจึงได้เข้ามารับประทานอาหารกันที่สถานีรถไฟเพื่อกันเหนียว ไม่ต้องรีบร้อน กินมันที่นี่เลย ระหว่างที่รับประทานเราก็นั้งเมาท์กันอย่างเมามันส์(กว่าเดิม) คุยกันอย่างออกรส และเสียงดังฟังชัดประหนึ่งว่าโลกนี้มีเพียงสองเรา (เสียงคุณกิ๊ฟนี้ดังอย่แล้วเป็นที่รู้กัน) เราก็เมามันส์เอามากๆ นินทาแฟนเก่าบ้าง นินทาผู้ชายทั่วไปบ้าง คิด promotion ขายพ่วงบ้าง ไอ้ promotion ที่พูดไปนี้แหละน่าอายสุด ทั้งนี้ทั้งนั้นที่พูดไปเพราะความสนุกปากล้วนๆ ก็แหมๆ โสดทั้งทีเอาให้คุ้ม (ใครๆก็รู้ว่าดีแต่พูดกันอยู่แล้ว จะคิดทำอะไรเข้าจริงๆก็พลาดเพราะเล่มเกวียนของมารยาที่มีกันอยู่น้อยนิด) ก็เลยบอกกิ๊ฟท์ไปว่า ตกลงเราก็ต้องขายคู่แหละ ซื้อเราแถมแกซื้อแกแถมเรา ไม่พอใจไม่เป็นไรไม่คิดราคาใดๆทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่รับคืน ส่งต่อเปลี่ยนมือให้เราเท่านั้น เจ๋งกว่า tv direct เป็นไหนๆ แถมได้ตั้งสอง ไม่ต้องไปลากน้องพลับให้มาขอสองเลย เราให้สอง ก็ขำๆ กันไปมันเป็นความสนุกปากล้วนๆ และก็นินทาต่อไปอีกว่าผู้ชายดีเกินไปก็ไม่ดี ผู้หญิงดีเกินไปก็ไม่ดี ก็เพราะเราดีเกินไงเลยเป็นแบบนี้ blah blah พอพูดจบปุ๊บก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นมาว่า ขอโทดนะครับเมื่อกี้น้องว่าอะไรนะครับ ตึง!!!!!!!!!!!! โอยยยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เวนแท้ๆ พูดไรออกไปบ้างฟระ พี่คะทำไมไม่บอกเอาตอนหนูลุกไปขึ้นรถไฟเลยหล่ะคะ โอยยยยยยยยยยยยย แล้วเค้าจะมองเราเยี่ยงไรนี้ พี่แอบฟังอยู่ได้ตั้งนานนะคะ เลยถามไปว่าทำไมไม่ทักแต่แรกหล่ะพี่ โอยยยๆๆๆๆ ควายตัวเท่าช้างหลุดออกมาแล้วค่ะ แต่ว่าก็ดูไม่ใช่คนน่ากลัวอะไรเท่าไหร่นักก็เลยนั้งคุยไป base on ที่พี่เค้านั้งเก็บข้อมูลจากยัยบ้าสองตัวนี้นานอยู่ เก็บข้อมูลจนมีการ comment ว่าเราน่าจะได้ผู้ชายโตกว่าส่วนกิ๊ฟท์น่าจะได้ผู้ชายเด็กกว่าให้กิ๊ฟท์กินเด็ก …. Yคะ Y? หนูอยากลองบ้างนะคะเด็กอ่ะค่ะ เราเนี๊ยนะได้ผู้ชายโตกว่าแต่เอาเถอะก็คุยกันไปคุยกันมาก็ถึงเวลาร่ำลาเสียที แต่เอ๊ะยังไงกันคะ ยังไงกันคะ พี่มีขอเบอร์ค่ะ
เอาหล่ะสิงานนี้ไม่เราก็กิ๊ฟไม่กิ๊ฟก็เรา hahahaha แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นเราด้วยอะไรก็ตามแต่ แต่ถึงเป็นเราๆจะเบี่ยงเบียนความสนใจไปที่คุณกิ๊ฟท์นะคะทำงานสายงานเดียวกันน่าจะคุยกันรู้เรื่องมากกว่าไม๊คะ และอีกอย่างที่พี่เค้ายกประเด็น เด็กขึ้นมากเราชักจะสนใจแล้วสิคะลองดูสักครั้งเป็นไร บังเอิญว่ายังไม่มีเด็กหลงทางมาเลยค่ะ (ล้อเล่นนะคะ พี่อย่าถือสานะคะ)


หม่ำไอตุมติมย้อมใจกันหน่อยยยยค่ะ


อิๆๆๆ ก็ว่ากันไปนะไม่ได้คิดไรจริงจังเดี๋ยวเกิดอ่านแล้วคิดกันไปไกลเกินพอดีนะ…..

ขอจบ day trip Munich เพียงเท่านี้เป็นวันที่ วู้วๆและเว้าๆมากๆเลย ขอให้ไก่และสัตว์ชนิดอื่นที่ปล่อยไปในคราวนี้จงไปสู่ทีชอบๆ นะคะ ich liebe dich....

ปล.วันนั้นท้องฟ้าสวยมากๆ


มุมสูงของ the church of our lady ขอเน้นไปที่ท้องฟ้าค่ะ..อิๆๆ


สิงโต...ตัวนี้โตหน่อย เพราะต้องเฝ้าหน้าวัง "ชาววัง" มักเลี้ยงอะไรดีเสมอ ว่าไม๊ๆ...


ช่างบังเอิญว่าวันที่ไป มี match Bayern Munich กับ ทีมอะไรสักอย่างที่ Alliance Arenaค่ะ บัตรจริงๆ 20Euro แต่ราคาไปไกลถึงเป็นร้อยที่หน้างาน ไม่ได้ไปเอง...อันนี้ฟังเค้าเล่ามา(อยากไปอยู่ค่ะ ถ้าราคามันยังอยู่ที่ 20 Euro)และรูปนี้อาจจะสงสัยว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร มันเกี่ยวค่ะดูดีๆ อิๆๆๆ