ภูหินแทบบ้า
"อยากไปเที่ยวอีกแล้ว" คำพูดนี้ดูเหมือนจะเป็นคำที่ฝังอยู่ในหัวสมองประหนึ่งรอยสักที่ใช้ยางลบหรือว่าลิควิดลบออกไปไม่ได้ ในเมื่อคิดแล้วก็ต้องสนองความอยากของตนเอง เจียดเวลาทำงานซึ่งปกติไม่ค่อยได้ทำ มานั่งปรึกษากับยายหมูว่าจะไปไหนดีช่วงปลายปี (2549) คาดว่าคงไม่ใช่ทะเลแน่ๆ เพราะว่าทุกทีที่ไปก็ไปแต่ทะเล เลยเปลี่ยนบรรยากาศไปเป็นปีนเขาแทน ปลายปีอากาศหนาวๆ ชวนให้ไปตั้งแคมป์ต้านหนาวอย่างยิ่ง ซึ่งเมื่อปีก่อนหน้านี้ เคยแพลนว่าจะไปภูกระดึงกันแต่สุดท้ายก็ล่มจนต้องมากางเต๊นท์ตั้งแคมป์ในสนามหลังบ้านแทน (แย่ได้อีก) ครั้งนี้ก็คิดจะไปภูกระดึงอีก เอาเป็นว่าถ้าไม่ได้ไปปีนเขาคงลงไปนอนดิ้นพราดๆ อยู่บนพื้นเป็นแน่แท้ แต่...สุดท้าย ท้ายสุด
ภูหินร่องกล้า ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เคยเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งหนีจากเมืองมาอยู่ในป่า และเมื่อโดนทางรัฐเข้ากวาดล้างภูหินร่องกล้านี้เลยกลายเป็นอนุสรณ์สถานของระบอบคอมมิวนิสต์ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของสถานที่นี้มีอีกเยอะ แต่เนื่องด้วยความที่เราเป็นคนไม่สันทัดวิชาสังคมสักเท่าไหร่ เลยทำให้ที่นี่ไม่เป็นที่หมายในสายตา
แพลนลงตัว สถานที่ก็คอนเฟิร์มแล้ว ก็เริ่มหาวิธีกันว่าจะไปกันยังไง วิธีไหน อย่างไร มีการเขียนแถลงการณ์แล้วส่งให้บรรดา “สหาย” ผู้เข้าร่วมอุดมการณ์ในครั้งนี้ โดยแรกเริ่มเดิมที่มี สหายป๊อป สหายบาส และสหายป้อง เป็นตัวพ่อตัวแม่ยืนพื้น และมี สหายบอน และ สหายเกด มาสมทบ กำหนดวันเดินทางเป็นอันเรียบร้อย คือระหว่างวันที่ 16 -18 ธ.ค. 49 แต่ด้วยความที่เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย คือเราต้องรับงานไปถ่ายภาพนิ่ง ซึ่งรายได้มากโขอยู่ ก็เลยต้องเลื่อนออกไป ส่งผลกระทบให้สหายผู้ร่วมอุดมการณ์สองคนคือ บอน กับ เกด ไปไม่ได้ สหายเกดไปไม่ได้เนื่องจากว่า วันที่เดินทางนั้น อยู่นอกเวลาลาพักร้อนไปเสียแล้ว ส่วนของบอนนี่ พูดได้คำเดียวว่า...เม็ดเยอะ(แปลว่า เรื่องเยอะถึงเยอะมากกกก) สรุปแล้วทริปนี้ เหลือผู้ร่วมชะตากรรมอยู่แค่เพียง 3 คนเท่านั้น
เมื่อกายพร้อม ใจพร้อม ก็เริ่มการผจญภัยได้ แต่กว่าจะเริ่มการผจญภัยได้นั้น ก็ลำบากยากเย็

จากคำบอกเล่าของเพื่อนสนิทป้อง นั่นก็คือนายรอบรู้(หนังสือนำเที่ยวอ่ะนะ) เขาบอกเอาไว้ว่า รถทัวร์จากหมอชิตจะไปถึงพิษณุโลกเวลาประมาณตีห้า ซึ่งก็ถือว่าเป็นเวลาที่ดีมาก ออกจากกรุงเทพฯ ห้าทุ่ม ถึงที่นู่นตีห้า ก็ต่อรถขึ้นไปภูหินได้เลย เพอร์เฟคจริงๆ เมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็หลับตาแล้วเข้าเฝ้าพระอินทร์โดยพลัน
หลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ว่าตื่นมาอีกทีคือตอนที่รถทัวร์กำลังลัดเลาะอยู่ในตัวเมืองพิษณุโลกเรียบร้อยแล้ว และมุ่งหน้าไปสู่สถานีขนส่ง เหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือเพื่อเช็คดูว่าเดินทางนานแค่ไหน แต่คำตอบที่นาฬิกาให้ คือว่าขณะนั้นเป็นเวลาตี 3 กว่าๆ เกือบครึ่ง เอาแล้ว...นายรอบรู้พลาดเสียแล้ว มาถึงก่อนเวลาที่วางแผนไว้ตั้งเกือบ 2 ชั่วโมงแน่ะ
ก้าวแรกที่ลงมาจากรถ โอ้ มอดกาย โอ้ มายก้อด อากาศหนาวสะท้าน เลยต้องรีบคุ้ยเสื้อผ้าคลายหนาวมาใส่กันพัลวัน คิดดูก็แล้วกันว่าเขาต้องก่อกองไฟในเตาอั้งโล่เพื่อให้ความอบอุ่น ก็ดีนะ อากาศหนาวสมใจ แต่...กว่ารถที่จะไปอำเภอนครไชยเที่ยวแรกออกก็ตั้งตีห้านู่นแน่ะ จะทำอะไรกันดีละเนี่ย ก็เลยชวนกันมองซ้ายมองขวา แล้วก็พบร้านน้ำชา กับร้านก๋วยเตี๋ยว ก็เลยสอยก๋วยเตี๋ยวกันคนละชาม กับน้ำชาคลายหนาวอีกคนละแก้ว อิ่มแล้วก็นั่งเสวนากับเจ้าของร้านน้ำชา เพื่อฆ่าเวลารอเวลารถไปนครไชย ราวๆ ตีห้า พวกเราเริ่มสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเป็นเงาทะมึนๆ ในตัวสถานีขนส่ง ซึ่งหมายความว่ารถไปนครไชยเริ่มเปิดขายตั๋วแล้ว คุณปกป้องก็ไม่รอช้า วิ่งแจ้นไปซื้อตั๋วโดยไว ในไม่ช้ารถจากสถานีขนส่งก็ล้อหมุนสู่อำเภอนครไชย ที่ตั้งแห่งภูหินร่องกล้า เป็นความโชคดีของเราทั้งสามที่รีบแทรกตัวขึ้นมาบนรถเมล์ไปนครไชย เพราะว่า รถเมล์คันนี้คนแน่นมาก ทั้งนั่งทั้งยืน กว่าจะพาไปถึงท่ารถนครไชยก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ระหว่างทางก็เห็นชาวบ้านเขามาก่อกองไฟผิงแก้หนาวกันตั้งแต่
อุทยานเพื่อกางเต๊นท์นอนกันเอาดาบหน้า แต่ก่อนที่จะไปปักหลักการเต๊นท์กันนั้น ทางที่ทำการอุทยานฯ ก็มีการฉายสไลด์เล่าถึงประวัติของภูหินให้ได้ชมกัน แล้วก็มีนิทรรศการเล็ก ในที่ทำการมีทรัพย์สมบัติเก่าเก็บจากสมัยเป็นฐานทัพคอมมิวนิสต์เก็บไว้ให้ดูไว้เป็นวิทยาทานแก่ชนรุ่นหลัง
อิ่มหนำสำราญกับความรู้แล้ว ก็แบกกระเป๋ากระเตงๆ เดินหน้าต่อไปยังที่ที่เขาจัดไว้ให้กางเต็นท์ ซึ่งเป็นแนวป่าสน โปร่งๆ บนเนินที่พ้นจากแสงแดด เดินเล็งๆ อยู่สักพักหนึ่ง ก็ได้จุดยุทธศาสตร์ที่ตอนนั้นคิดว่าเหมาะสมปักหลักกางเต็นท์ ที่เรากับยายหมูภูมิใจเสนอที่สุด กางกันด้วยความสนุกสนาน ติดขัดบ้างเล็กน้อยถึงเล็กน้อยที่สุด จนในที่สุดก็เป็นรูปเป็นร่างกระโจมไฮโซที่คุ้นตา เหมือนที่เคยเห็นในสนามหลังบ้านเมื่อปี กลายไม่มีผิด
เมื่อลงหลักปักฐานป็นอันเรียบร้อย เหล่าบรรดาสหายทั้งสามก็เริ่มการผจภัย แต่ว่าก่อนจะเริ่มไปเจอกับภัยต่างๆกองทัพมันก็ต้องเดินด้วยท้อง จึงเป็นเหตุให้ต้องแวะหาอะไรลงท้องกันก่อน และข้าวปลาอาหารนั้นก็หาไม่ยาก เพราะว่ามีร้านอาหารเปิดอยู่สองร้าน ร้านนึงชื่อร้านดวงใจ อีกร้านชื่อร้านรังทอง ไม่มีใครในบรรดาสามคนนั้น ตอบได้ว่าใครจะอร่อยกว่าใคร แต่ว่าเท่าที่เห็นจากภายนอกเนี่ย ร้านดวงใจจะเป็นร้านอาหารอีสานอย่างเห็นได้ชัด ส่วนร้านรังทอง จะเป็นร้านกลางๆ ทั่วๆ ไป ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตกลงว่ามื้อแรกที่นี่ไปลงเอยที่ร้านรังทอง เราไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเลือกร้านนี้หรอกนะ เพราะว่าตอนไปถึงที่นู่นปุ๊บ เราก็ควักกล้องมาถ่ายรูปแบบไม่ยั้งมือ แล้วป้องก็นำไปที่ร้านอาหารก่อน แล้วก็มาจอดที่ร้านนี้
เสร็จจากมื้อเที่ยงมื้อแรกบนภูหินฯ บรรดาเหล่าสหาย (ซึ่งมีกันอยู่แค่สามชีวิต) ก็เริ่มการผจภัย โดยแรกเริ่มเดิมทีกะจะเดินไปตามจุดสำคัต่างๆ เพราะว่าเป็นทริปเดินป่า รู้ทั้งรู้ว่าห่างกันเป็นกิโลๆ แต่ก็ยังปากดีตั้งใจว่าจะเดินให้ได้ แต่พอเริ่มเดินจากที่ทำการอุทยานฯ ไปได้สักนิด นิดเดียวจริงๆ ไม่กี่สิบเมตร ก็รู้ซึ้งว่าความเหนื่อยมันเป็นยังไง เนื่องจากเป็นภูเขา ถนนหนทางที่นี่มันเลยขึ้นๆ ลงๆ เหมือนเมืองนอก แม้ว่าจะเป็นถนนราดยางอย่างดีก็ตามเถอะ เจอแบบนี้มันเลยฉุกคิดว่า ขนาดถนนเรียบๆ เดินง่ายๆ แบบนี้มันยังเหนื่อยได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นป่าจริงๆ มันจะเป็นยังไงละเนี่ย ว่าแล้วก็...เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในบัดดล จากความตั้งใจเดิมที่จะเดินดุ่มๆ เลยกลายเป็นโบกรถแทน ซึ่งไม่อยากจะบอกเลยว่าทริปนี้เป็นทริปที่ลุยสุดๆ เพราะว่าโบกรถกันเป็นว่าเล่นสนุกมาก สนุกจริงๆ มีตั้งแต่ระยะใกล้ๆ แบบไม่ถึงกิโล ไปจนถึงสามสิบกิโล...สุดยอด
ถึงแผนจะเปลี่ยน ก็ไม่ได้ทำให้จุดหมายเปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นจุดมุ่งหมายที่แรกที่จะไปก็คือ หมู่บ้านม้งร่องกล้า ซึ่งห่างจากตัวที่ตั้งอุทยานไปเจ็ดกิโลแม้ว ก็ไม่มีอะไรมากมายให้ตื่นเต้นขนาดนั้น แต่พอดีคุณป้องระคายเคืองอยากไป ก็เลยไป พอรถไปถึงที่นั่น ก็กระโดดลงจากกระบะท้าย พร้อมขอบคุณเจ้าของรถ และทำให้เรารู้ว่า ถ้าคิดจะเดินมาตั้งแต่ทีแรกนั้น...ตาย ตายสถานเดียวเท่านั้น เพราะว่าจากระยะทางที่เดินทางมานั้นคงใช้เวลาครึ่งวันจนตะวันลับขอบฟ้า กว่าจะมาถึงที่นี่แน่นอน
หมู่บ้านที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรให้ตื่นเต้นเท่าไหร่ เหมือนๆ กับหมู่บ้านที่แม่แจ่ม ที่เราเคยไป field trip อย่า

ราะใจจริงจะเดินไปดูวัดป่าภูหินร่องกล้า และที่ป้ายบอกทางเขาบอกไว้ว่าสี่ร้อยเมตรจากป้าย ก็เลยตัดสินใจเดินไปแวะนมัสการ แต่สี่ร้อยเมตรที่ว่านี้ เป็นระยะทางที่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที เลยตัดใจ เอาไว้โอกาสหน้าถ้าบุญมีพอคงได้กลับมาอีกรอบแล้วกัน
หลังจากอิ่มอกอิ่มใจจากหมู่บ้านม้งร่องกล้าก็แวะมาหาอะไรดื่มกัน ที่ร้านโชห่วยของหมู่บ้าน ณ เวลานั้น ก็คิดกันว่า มาถึงที่นี่แล้ว จะกลับกันยังไงดี เพราะว่าเท่าที่สังเกตดูก็ไม่เห็นว่ามีใครออกจากหมู่บ้านไปไหนกัน มีรถกระบะแล่นออกไปบ้าง แต่กระบะท้ายเต็มไปด้วยกระสอบ คงไม่มีที่ให้คนแปลกหน้าสามคนแทรกตัวลงไปได้แน่นอน แต่ในที่สุด ทุกปัญหาย่อมมีทางออก โดยการเคลื่อนพลครั้งนี้ ต้องอาศัยความใจก ล้าหน้าด้าน ไปขอให้คนในหมู่บ้านขับรถมาส่ง และชาวบ้านที่นี่ก็อัธยาศัยดีมาก เห็นว่าพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวเลยช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี ขับรถกระบะมาส่งที่จุดหมายต่อไปนั่นคือ โรงเรียนการเมืองการทหาร

ตรงกันข้ามฝั่งถนนของโรงเรียนการเมืองการทหาร ก็เป็นกังหันน้ำ ที่เขาสร้างไว้เพื่อตำข้าว แต่กังหันมันไม่หมุน เพราะว่าฤดูหนาวน้ำมันน้อย ไม่พอปั่นกังหันน้ำ แต่ก็ได้บรรยากาศความเป็นอยู่อย่างพอมีพอกินของคนสมัยก่อน และรู้ถึงภูมิปัญญาชาวบ้านที่คนสมัยก่อนได้เก็บรักษาไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้ดู
เมื่อเสร็จสมอารมณ์หมายจากโรงเรียนการเมืองการทหาร ก็เดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไปคือ ลานหินปุ่ม หนึ่งในสถานที่ที่เขาตั้งชื่อให้เป็น "โลกที่สาม" ซึ่งมันจะเป็นยังไง ขออนุญาตเล่าต่อในตอนหน้าแล้วกัน