วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

เคย in love ไม๊คะ??

แน่นอนว่าหลายคนต้องเคย

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆถึงอยากเขียนเรื่องความรักขึ้นมา
เราไม่ได้ อินเลิฟ อยู่ในขณะนี้ ทั้งๆที่อยากจะ อินเลิฟเอามากๆ รู้สึกว่า อาการ อินเลิฟเป็นช่วงสดใสที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต
ไม่ว่าอะไรก็ทำให้อารมณ์ดีได้อย่างบอกไม่ถูก
แต่เราสังเกตว่าอาการ in love มันแบ่งออกเป็นหลาย ช่วงค่ะเราขอตีความอาการ in love จาก ประสบการณ์หมาดๆของตัวเองแล้วกัน




ข้อมูลดิบ
สถานะก่อน “อินเลิฟ” = เพื่อนสนิท (เพื่อนในกลุ่ม)
หนุ่มผู้ทำให้เกิดการ “อินเลิฟ” =
- หนุ่มตี๋นิดๆ (ไม่นิดก็ได้)
- ฝ่ายซ้ายเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์
- ขำขัน/เพี้ยน
- มั่นใจในตัวเองสูง บางครั้งมองได้ว่าไร้ยางอาย
ระยะเวลา “อินเลิฟ” = ถ้าร่วมช่วง Pre-In Love ก็น่าจะ 5 ปีพอดิบพอดี
วันที่ officially “อินเลิฟ” = ศุกร์ที่ 13 ธ.ค ปี 2002 (วันดี)
วันหมดอายุ = อย่างเป็นทางการก็ 22nd May 2007(เป็นของขวัญวันเกิด)



ช่วงที่ 1 Pre-In Love
เป็นช่วงหยั่งเชิง วางมาดแต่ในใจอดคิดถึงไม่ได้ หยิบโทรศัพท์มา อยากโทรแต่นึกในใจ ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยว (แมร่ง)รู้ เล่นสงคราม msg กันเป็นเดือนๆ ช่วงนี้ป่วงสุดเหมือนเล่น poker ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะ fold หรือว่า all in

ช่วงที่ 2 ความรักกำลังถูกบ่ม (hahaha คิดได้ไงวะ เน่ามาก)
อันนี้ชอบ คือเป็นช่วงที่รู้แล้วหล่ะว่า (แมร่ง) ชอบเราแน่ ดังนั้นไปเรียนนั่งติดกันทุก class ตัวติดกันไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน เริ่มไปไหนด้วยกันสองคนมากขึ้น หรือเกือบจะตลอดก็ว่าได้ คุยโทรศัพท์ทุกวัน บางครั้งวันละหลายๆชั่วโมง เล่าให้ฟังทุกเรื่อง คนอื่นถามว่าเป็นอะไรกัน จะพูดว่าเพื่อนสนิท (ช่วงโปรด!! มากกว่าเพื่อน น้อยกว่าแฟน ฮิ้ววว) เริ่มไม่เห็นความสำคัญของเพื่อนคนอื่น hehehe

ช่วงที่ 3 ขอเรียกว่าช่วงสุกงอม หรือช่วง ข้าวใหม่ปลามัน (new rice, oily fish)
บ่มมาพักนึงและ สักทีนะคะ สักที เป็นแฟนกันไปเลยดีว่าสหายยย ทำแบบ ช่วงที่สองเดี๋ยวเป็นที่ นินทาว่ากล่าว เราเป็นผู้หญิงยังไงก็เสีย อิๆๆ ก็เป็นแฟนกันไป ช่วงนี้แหละ โปรดยิ่งกว่าโปรด ได้แสดงออกเต็มที่ว่า เฮ้ยยย ช้านนรักแกนะ ทุกอย่างเป็นสีชมพูจริงๆ อะไรก็ดี ไอ้ที่ไม่ดีก็ดี (บางคนอาจไม่เป็นแบบนี้นะคะ บังเอิญว่าเรารักใครแล้วเต็มที่มากๆ) พูดหวานกันเข้าไปนะคะ หวานได้อีก หวานเรื่อยๆ ไม่รู้จักเบื่อ ขนาดตอนเป็นเพื่อนคุยกัน กูมึงในบางครั้ง แต่นี้ เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเท้าทีเดียว msg ก็ส่งกันเข้าไป อยู่ไหน อย่างไรรู้หมด ไม่อยากจากกันแม้แต่น้อย (ช่วง new rice ของเราอยู่ประมาน ปีนึง เอาแบบ peak peak ก็สัก 4-5เดือนแรก (แบบเลี่ยนอ้วกแตกกันไปเลย)

ช่วงที่ 4 in love แบบอยู่ตัว (และเพิ่มมากขึ้น)
ช่วงนี้อยู่ตัวแล้วค่ะ รู้ routine ของกันและกัน และด้วยความที่เราไม่ขี้ตามขนาดนั้น ค่าโทรศัพท์ก็ลดลง ไม่check ไว้ใจไม่อะไร เป็นช่วง สบายๆ มีทะเลาะบ้างตามประสา แต่โดยรวมทุกอย่างกลับไป ตอนเหมือนเป็นเพื่อนสนิท แต่เป็นเพื่อนสนิทที่รักกันแบบ คนรัก สดใสๆค่ะ สดใสๆ ไม่เหงาอยู่ตัว มีความสุข ความตื่นเต้นอาจจะลดลง แต่ความผูกพัน มากขึ้นค่ะ เป็นแบบนี้มาอีกสักเกือบๆ 3 ปี สำหรับเรา แม้อาการ in love มันจะถูกแสดงออกน้อยลง แต่ความรักมีเพิ่มมากขึ้นทุกวันค่ะ และมันก็ลึกซึ้งมากค่ะ มีแต่สิ่งดีๆ มอบให้ และส่วนมากก็จะเป็นสิ่งดีๆ ที่ได้รับกลับมา

ช่วงที่ 5 ช่วงรักษาระดับ (อาจจะเป็นแค่เราคนเดียว) หรือเรียกได้ว่าประคับประคอง
หลังจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรารักษาระดับ สำหรับเราแล้วระดับความรักแทบไม่ต้องรักษาเลยค่ะ รักแล้วเลิกรักลำบาก แต่เป็นช่วงรักษาระดับของฝ่ายตรงข้ามค่ะ ผู้หญิงรักผู้ชายจาก 0-100 จริงอย่างมากถึงมากที่สุด บางทีมันอาจจะทะลุร้อยเลยก็ได้นะคะ ส่วนผู้ชาย คงต้องคิดในทางกลับกัน




อาการ in love ของเรามันได้หมดแค่ 5 ช่วง หลังจากนั้นเราคงเป็นอาการอะไรต่อมิอะไรมากมายแล้ว อาการต่อเนื่องจากไอ้ อะไรต่อมิอะไร ต้องเรียกมันว่า อาการ heartbroken ยากสสสสสส์ ต่อการรับมือมากๆเลยค่ะ แต่ หุๆๆ เราผ่านมันมาแล้วอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย แต่นับว่าดีกว่างวดแรกมากมายค่ะ

อาการตอนนี้เลยขอเรียกว่า อาการ Post-In Love อาการทำให้รู้ว่าเราโตขึ้นแล้วค่ะ Post-In Love ของเราไม่เลวเลยทีเดียว เพราะว่าได้กลับมาคุยกันใหม่แบบ ‘เพื่อน’ มากๆ รับได้ในสิ่งที่เค้าเป็นอยู่ และเคารพตัวเองมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว และอาการนี้ทำให้เรารู้ว่า เราจะไม่กลับไปหาเค้าอีก เพราะถ้าคุยกันใหม่แล้วอยากกลับไปอีก แน่นอนคุณกำลังเด้งตัวเองไปอยู่ในช่วง 1-3 ค่ะ

แต่อืมม โสดนี้ดีก็ดีสุดไปเลยนะคะ แต่ก็เหงาไม่น้อย ยังไม่สามารถหาคำมาอธิภายอาการได้ ว่าเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าเหงาเป็นช่วงๆ เวลาสนุกก็สนุกจัด แต่เวลาเหงานี้ ไม่ใช่เล่นเลยค่ะ (อาการนี้มีผลข้างเคียงแบบรุนแรง บางครั้งมีผลเฉียบพลันค่ะ , มันจะครอบงำการตัดสินใจของคุณอย่างไม่รู้ตัวค่ะ……..เมาห้ามขับนะคะ เหงาก็ห้ามขับค่ะ)

ทั้งหมดนี้เข้าใจว่าเกิดจากอาการป่วยแล้วว่าง น่าจะเป็นหนึ่งในที่มาของอาการเหงา เมื่อก่อนเวลาป่วยจะไม่เหงาแบบนี้เท่าไหร่
แต่ตอนนี้คิดถึงอาการ in love ช่วงที่ 2-3 อย่างมากมายอยากเจออีก แต่ขอเป็นเหยื่อรายอื่น รายเดิมนั้น อิ่มตัวกันไปข้างนึงแล้ว (ถ้าดู๊ดเข้ามาอ่านอย่าตกใจไป ดู๊ดไม่ได้เป็นเหยื่อ เราเป็นเหยื่อดู๊ด อ่ะ :>)

เพื่อนๆ มี อาการต่างๆ แบบเราไม๊คะ

ใครแอบแว๊บเข้ามาอ่าน บอกอาการกันนิดส์นึงนะคะ

I love you (still) but I'm not in love with you and never going to be in love with you ever again....ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราได้รู้จักกัน





ป.ล.อีกที เขียนเมื่อวานแต่ published วันนี้ จริงๆถ้าเป็นวันนี้คงไม่เรื่องนี้ เพราะวันนี้ไม่เหงา ดังนั้น เราเขียนเรื่องนี้เพราะเราแอบๆเหงา นั้นเอง!!!